.

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันศุกร์ (26 พ.ค.) เนื่องจากการเจรจาเพื่อเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐมีความคืบหน้า ขณะที่หุ้นกลุ่มชิปพุ่งขึ้นเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันท่ามกลางความเชื่อมั่นเกี่ยวกับแนวโน้มของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,093.34 จุด เพิ่มขึ้น 328.69 จุด หรือ +1.00%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,205.45 จุด เพิ่มขึ้น 54.17 จุด หรือ +1.30% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,975.69 จุด เพิ่มขึ้น 277.59 จุด หรือ +2.19%

 

ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกในวันศุกร์ หลังติดลบ 5 วันทำการที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2565 โดยดัชนี S&P500 ยืนเหนือระดับ 4,200 จุดได้

 

แต่ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 1.0%, ดัชนี S&P500 บวก 0.3% และดัชนี Nasdaq พุ่ง 2.5%

 

หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น นำโดยกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ซึ่งพุ่งขึ้น 2.68% ตามมาด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยซึ่งพุ่งขึ้น 2.38%

 

ดัชนีหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ที่ตลาดฟิลาเดลเฟีย พุ่งขึ้น 6.3% และปรับตัวขึ้น 2 วันรวมกว่า 13% โดยหุ้นมาร์เวล เทคโนโลยี อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิป พุ่งขึ้น 32% หลังเปิดเผยว่าจะเพิ่มรายได้ต่อปีเป็นสองเท่าจากการผลิตชิปเพื่อใช้ในเทคโนโลยี AI

 

หุ้นอินวิเดีย พุ่งขึ้นอีก 2.5% หลังทะยานขึ้น 24% ในวันพฤหัสบดี ขานรับคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการที่สดใส

 

บรรดานักลงทุนยังคงจับตาอย่างใกล้ชิดกับการเจรจาเรื่องเพดานหนี้ระหว่างปธน.ไบเดนและนายแมคคาร์ธีในช่วงวันหยุดยาวสุดสัปดาห์นี้ ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะปิดทำการในวันจันทร์ (29 พ.ค.) เนื่องในวันรำลึกถึงผู้พลีชีพเพื่อชาติ (Memorial Day) ซึ่งเป็นวันหยุดของสหรัฐ

 

เจ้าหน้าที่สหรัฐรายหนึ่งเปิดเผยว่า หลังการเจรจาหลายรอบ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ดูเหมือนใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงเพื่อเพิ่มเพดานหนี้ของรัฐบาลจากระดับ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์เป็นเวลา 2 ปี ขณะที่จะจำกัดการใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ ส่วนใหญ่

 

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่เปิดเผยในวันศุกร์บ่งชี้ว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นมากเกินคาดในเดือนเม.ย. และอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในเดือนมิ.ย.

 

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้น 0.8% ในเดือนเม.ย. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนมี.ค.

 

นอกจากนี้ รายได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนเม.ย. สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่อัตราการออมลดลงสู่ระดับ 4.1% จากระดับ 4.5% ในเดือนมี.ค. โดยเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2565

 

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 60% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 13-14 มิ.ย.

 

สำหรับหุ้นรายตัวที่ปรับตัวขึ้นอย่างมากในวันศุกร์ อาทิ หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ พุ่งขึ้น 6.2% และหุ้นเทสลา พุ่ง 4.7% หลังฟอร์ดลงนามข้อตกลงอนุญาตให้ลูกค้าสามารถใช้สถานีชาร์จไฟรถยนต์ของเทสลาจำนวนมากกว่า 12,000 สถานีในอเมริกาเหนือในช่วงต้นปี 2567

 

หุ้นพาราเมาท์ โกลบอล ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทสื่อ ทะยานขึ้น 5.9% หลังเนชันแนล อะมิวส์เมนท์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้รับเงินลงทุน 125 ล้านดอลลาร์

 

ที่มา สำนักข่าวอินโฟเควสท์